Press "Enter" to skip to content

พื้นฐานระบบไฟฟ้ารถยนต์ที่ควรรู้

ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ใช้รถ ต้องมีการขับขี่รถยนต์กันอยู่เป็นประจำแล้ว เรื่องของการดูแลรักษารถยนต์ให้อยู่คู่กับเราไปอีกนานก็เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งการดูแลเอาใจใส่เมื่อเกิดปัญหาเราก็จะสามารถได้ทราบว่าเกิจากสาเหตุใดที่ถูกวิธีนั้นก็จะทำให้รถคู่ใจอยู่กับเราได้นาน เราจำเป็นจะต้องรู้จักระบบต่าง ๆ ของรถให้มากที่สุด  เกิดจากระบบส่วนไหนของตัวรถยนต์ เพื่อให้การดูแลรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง ระบบไฟฟ้ารถยนต์เป็นอีกหนึ่งระบบที่สำคัญมากสำหรับการทำงานหลักของรถยนต์ วันนี้เรามี 4 ข้อ พื้นฐานของระบบไฟฟ้ารถยนต์ที่ควรรู้สำหรับผู้ใช้รถมาฝากกันครับ

                  1.ไดชาร์จ (Alternator) มีหน้าที่เป็นตัวผลิตไฟฟ้า” โดยอาศัยกำลังเครื่องยนต์ ส่งกำลังมาผ่านทางสายพาน ส่งให้ไดชาร์จหมุน เพื่อปั่นกระแสไฟออกมาใช้ในระบบไฟฟ้ารถยนต์ หากไดชาร์จเกิดเสีย ระบบไฟฟ้ารถยนต์จะไม่ทำงาน ทำให้รถยนต์ไม่สามารถวิ่งต่อไปได้ โดยอาการไดชาร์จมีปัญหานี้มักจะพบในรถที่เริ่มมีอายุการใช้งานที่นานแล้ว และไดชาร์จเองก็มีอายุการใช้งานในระยะหนึ่ง เมื่อหมดอายุก็ต้องเปลี่ยนอันใหม่ เพื่อให้ระบบไฟฟ้ารถยนต์ใช้งานต่อไปได้ เพราะด้านในของไดชาร์จจะประกอบด้วยทุ่นและแปลงถ่าน ถ้าทั้งสองสิ่งนี้เริ่มสึก จะส่งผลให้ไดชาร์จเสื่อมสภาพ

                  หากไดชาร์จเริ่มเสื่อมสภาพ จะมีการส่งสัญญาณว่าระบบไฟฟ้ารถยนต์เริ่มมีปัญหา โดยระบบไฟฟ้ารถยนต์ทั้งหมดจะอ่อนลง เช่น ไฟหน้าเริ่มหรี่ แอร์เริ่มไม่ค่อยเย็น บางครั้งอาจพบว่าความร้อนขึ้น เพราะพัดลมไฟฟ้าหมุนไม่แรงพอ หากมีอาการดังกล่าว ควรตรวจเช็คไดชาร์จ และระบบไฟฟ้ารถยนต์โดยรวมได้แล้ว  โดยเมื่อมีอาการของไดชาร์จเสีย จะพบไฟรูปแบตเตอรี่ขึ้นที่หน้าปัด หากพบสัญญาณนี้ ให้พยายามปิดอุปกรณ์ที่กินไฟต่าง ๆ เช่น แอร์ ไฟต่าง ๆ ภายในรถ เพื่อให้พอประคองในการขับรถเข้าอู่เพื่อซ่อม เพราะถ้าหากไดชาร์จเสีย รถจะสามารถวิ่งได้อีกสักพัก จนไฟหมดแล้วจากนั้นเครื่องยนต์ก็จะดับ ทำให้ไม่สามารถขับต่อไปได้ครับผม

                  2.แบตเตอรี่ (Battery) จะทำหน้าที่เก็บไฟสำรองเมื่อไดชาร์จปั่นกระแสไฟมา หากไฟเหลือใช้ ก็จะนำมาเก็บไว้ที่แบตเตอรี่ เมื่อระบบไฟฟ้ารถยนต์มีการการใช้ไฟฟ้ามากกว่าที่ไดชาร์จทำงานได้ จะมีไฟจากแบตเตอรี่ถูกนำออกมาใช้ด้วย รวมถึงตอนสตาร์ทเครื่องที่ต้องใช้กำลังไฟมาก ระบบไฟฟ้ารถยนต์ต้องอาศัยไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ส่งมาหมุนไดสตาร์ทก่อน เพราะไดชาร์จไม่สามารถปั่นไฟได้เพียงพอในขณะนั้น จนกระทั่งเครื่องยนต์ติด ระบบไฟฟ้ารถยนต์จึงจะกลับสู่วงจรเดิม และเมื่อแบตเตอรี่ไฟหมด หรือเสื่อมสภาพ ก็จะไม่สามารถเก็บไฟไว้ได้ ส่งผลให้รถยนต์สตาร์ทไม่ได้เพราะไม่มีกำลังไฟพอ ระบบไฟฟ้ารถยนต์ไม่สามารถทำงานได้ เราสามารถแก้ปัญหาเบื้องต้นได้โดยทำการพ่วงแบตเตอรี่ รถยนต์จึงจะสามารถสตาร์ทได้ โดยทั่วไปแบตเตอรี่จะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 2 ปี รถยนต์บางคันอาจจะใช้ได้นานกว่านั้น หรือเสียเร็วกว่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่ที่การดูแลบำรุงรักษา หากไม่ค่อยได้ดูแล เปิดฝากระโปรงรถคอยตรวจเช็ค ปล่อยให้น้ำกลั่นแห้งบ่อย ๆ ก็อาจส่งผลให้แบตเตอรี่ที่เป็นส่วนสำคัญของระบบไฟฟ้ารถยนต์ มีอายุการใช้งานสั้นลง หากมีการดูแลรักษาแบตเตอรี่อยู่เสมอ หมั่นตรวจเช็ค และเติมน้ำกลั่น ก็จะทำให้แบตเตอรี่คงทน ใช้งานได้นาน รวมถึงคุณภาพของแบตเตอรี่ที่ใช้ก็มีความสำคัญต่อระบบไฟฟ้ารถยนต์เช่นกัน หากเลือกแบตเตอรี่ที่ดี มีมาตรฐาน กำลังไฟแรง สำรองไฟได้นาน อย่าง 3K Battery ก็จะยิ่งทำให้ระบบไฟฟ้ารถยนต์ของเรามีประสิทธิภาพ อยู่เป็นคู่หูคู่ใจของรถยนต์ของเราไปได้ยาวนานขึ้นครับ

3.โวลต์ (Voltage) คือค่าความต่างศักย์ของไฟฟ้าในรถยนต์ ซึ่งมีค่าอยู่ที่ 12V นั่นหมายความว่า อุปกรณ์ระบบไฟฟ้ารถยนต์ในรถทั้งคัน จะต้องใช้ค่าความต่างศักย์ เท่ากับ 12V เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ระบบไฟฟ้าของเมืองไทย โดยปกติอยู่ที่ 220V ส่วนในต่างประเทศก็จะแตกต่างกันออกไป ที่ญี่ปุ่น จะใช้ไฟ 110V หากเรานำอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีโวลต์น้อยกว่าไปใช้กับกระแสไฟโวลต์สูงกว่า ก็สามารถจะใช้เครื่องมือนั้นได้ แต่จะทำให้อุปกรณ์นั้นพังเร็ว
สำหรับโวลต์ ในระบบไฟฟ้ารถยนต์ ปกติในการขับขี่ทั่วไป เข็มโวลต์จะต้องชี้อยู่ที่ 12-13V หากพบว่าตกลงเหลือ 11-10V นั่นหมายความว่าไฟเริ่มตกแล้ว แต่ยังพอใช้ได้ หากเร่งเครื่องแล้วโวลต์ขึ้น นั่นหมายความว่าไดชาร์จเริ่มเสื่อม ถ้าต่ำกว่า 10V นั่นคือ ไฟชาร์จไม่พอ ควรรีบเข้าอู่พบช่างเพื่อตรวจหรือซ่อม แต่หากพบว่าเข็มชี้เกินกว่า 14V หมายความว่าไฟชาร์จเกิน ระบบไฟฟ้ารถยนต์มีปัญหาหนักหนาตามมาแน่นอน เช่น น้ำกลั่นเดือด อุปกรณ์ไฟฟ้าร้อนจัดจนเกิดอาการช็อตหรือไหม้ ให้รีบพารถคู่ใจเข้าอู่ด่วนครับ
4.รีเลย์ (Relay) มีหน้าที่เพิ่มพื้นที่สะพานไฟ  ทำให้กระแสไฟเดินได้สะดวกขึ้น และผ่านได้จำนวนมากขึ้น ส่งผลให้ระบบไฟฟ้ารถยนต์ทำงานได้อย่างเต็มรูปแบบ หากมีการเพิ่มอุปกรณ์ไฟฟ้าให้กับตัวรถ แต่ไม่มีรีเลย์ไปต่อพ่วง  จะเกิดการ Over load เพราะพื้นที่สายไฟเล็กเท่าเดิม แต่มีการดึงไฟมาใช้มากขึ้น อาจทำให้สายไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้านั้นร้อนจัดจนช็อตได้ครับ ดังนั้นในการติดตั้งรีเลย์ ควรจะต้องใช้รีเลย์จำนวนเพียงพอกับอุปกรณ์ไฟฟ้า และแยกรีเลย์ที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ไฟฟ้าเป็นอย่างๆไป เพื่อที่เวลารีเลย์เสีย ระบบไฟฟ้าของรถยนต์จะไม่เสียทั้งหมดเหมือนต่อร่วมกันเยอะๆ ควรใช้รีเลย์ที่มีคุณภาพดี ถ้าใช้รีเลย์คุณภาพไม่ดี ความทนทานต่ำ ระบบไฟฟ้ารถยนต์อาจเสียหายในเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้น เลือกซื้อรีเลย์คุณภาพดี ประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้ารถยนต์ชัวร์กว่าแน่นอนครับผม

                  ระบบไฟฟ้ารถยนต์เป็นส่วนสำคัญในการทำให้ระบบต่าง ๆ ของเครื่องยนต์สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หมั่นตรวจเช็ค ดูแลระบบไฟฟ้ารถยนต์ของเราให้ดี เพื่อที่รถยนต์ของเราจะได้อยู่กับเรายาวนานขึ้นนะครับผม 😀

Credit by 3K Battery

บริษัท เอสอาร์พีแบตเตอรี่ จำกัด - ติดต่อสอบถาม โทร. 064-618-5975 , 02-077-2820 | Line ID : @srpbattery (พิมพ์ @ ด้วย) | Copyright © 2016 - 2024 สาระพันแบตเตอรี่ - SRP BATTERY